USB-C คืออะไร? Apple USB-C ต่างจาก USB-A กับ B ยังไง

รู้จัก USB-C กัน … Apple ใช้ USB-C แล้ว A กะ B มันเป็นยังไง?!?

     อยู่มาคืนนึง Apple ก็ออกมาเขย่าวงการด้วย New MacBook ที่สุดแสนจะบางเฉียบ เบาหวิว ชนิดที่เรียกว่า MacBook Air ยังอาย
     แต่ก็สร้างความหนักใจและกระแสความอยากรู้อยากเห็น เพราะเจ้านี่มาพร้อมกับพอร์ต USB ชนิดใหม่เอี่ยมอ่องที่เรียกว่า USB-C ครับ … New MacBook ทั้งเครื่อง จะมีเจ้านี่พอร์ตเดียว แต่ครอบจักรวาล เพราะสามารถต่อได้ทั้งกับสายชาร์จ สาย USB และสายเคเบิ้ลสำหรับต่อออกจอแสดงผลภายนอก
     ฉะนั้นเราควรมารู้จักมันดีกว่าว่ามันคืออะไร และถ้ามี USB-C แล้ว แล้ว USB-A กะ USB-B นี่มันเป็นยังไง
USB-C คืออะไร? Apple USB-C ต่างจาก USB-A กับ B ยังไง
USB-C คืออะไร? Apple USB-C ต่างจาก USB-A กับ B ยังไง

USB-C กับมาตรฐาน USB 3.1
     เป็น แผนการของทางฝั่ง USB Group มาตั้งกะปี 2556 แล้วว่าจะอัพเกรดมาตรฐาน USB 3.0 ให้มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 10Gb/s ให้ได้ ซึ่งตามมาตรฐานแล้ว ก็จะมีการอัพเกรดตัวหัวต่อ USB มาเป็น USB-C ด้วยเลย
     เพื่อ ให้มีขนาดเล็กลง และแก้ปัญหาที่มีมาแต่โบราณของพอร์ต USB นั่นก็คือ เวลาจะเสียบต้องหันให้ถูกด้านโดย USB-C งวดนี้ จะเสียบด้านไหนก็ได้ทั้งนั้น คล้ายๆ กับพอร์ต Lightning ของ Apple นั่นแหละ
     หน้า ตาของ USB-C ก็จะเป็นอย่างที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ ตามสเปกแล้ว มาตรฐาน USB 3.1 นั้น จะรองรับมาตรฐานเก่าๆ อย่าง USB 3.0, USB 2.0 และ USB 1.0 ด้วย เพียงแต่ว่าตัวหัวต่อมันใช้กับอุปกรณ์ใดๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้เลยนะ ต้องหาหัวแปลงมาต่อเอานะครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่า ปัจจุบันพวกอุปกรณ์ที่เราใช้ๆ กันอยู่ มันจะใช้พอร์ต USB ประเภท USB-A กับ USB-B ยังไงล่ะ

USB-A

     จริงๆ แล้วมันก็คือ พอร์ต USB แบบที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดครับ มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า … มันก็คือหัว USB ที่เราเอาไว้จิ้มกะคอมพิวเตอร์นั่นแหละครับ ตัวที่เอาไปจิ้มก็เรียก USB-A Male (ภาษาช่างเรียก USB-A ตัวผู้ เพราะไปจิ้มเขา) ส่วนพอร์ต USB ที่ถูกเอามาจิ้ม ก็เป็น USB-A Female (ภาษาช่างเรียก USB-A ตัวเมีย เพราะถูกเขาจิ้ม)


     ไม่ ว่าคุณจะกำลังใช้ USB เวอร์ชันอะไรอยู่ 1.0, 2.0 หรือ 3.0 พอร์ต USB-A จะเหมือนเดิมครับ เพียงแต่ไอ้ตรงพลาสติกตันๆ เนี่ย ที่ปกติจะเป็นสีขาวหรือดำ มันจะเป็นสีน้ำเงิน เพื่อบ่งบอกว่า ชั้นเป็น USB 3.0 นะเฟร้ย อะไรแบบนี้

USB-B

     หัว แบบ USB-B นี่ส่วนใหญ่จะเป็นตัวผู้ (Male) ครับ มีไว้เพื่อใช้ต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น พริ้นเตอร์, ฮาร์ดดิสก์ภายนอก, สมาร์ทโฟน ฯลฯ เข้ากับคอมพิวเตอร์ครับ ฉะนั้นด้านนึงจะเป็น USB-A ตัวผู้ (เอาไว้จิ้มกะคอมฯ) ส่วนอีกด้านก็จะเป็น USB-B ตัวผู้ (เอาไว้จิ้มกะอุปกรณ์ต่อพ่วง)

     แน่ นอนว่า USB-B เองก็มีทั้ง Male กะ Female เหมือน USB-A นั่นแหละครับ … เพียงแต่ในส่วนของ Male นั้น ในขณะที่ USB-A มีที่คุ้นหน้าคุ้นกันแค่แบบเดียวคือแบบปกติ แต่กับ USB-B นั้น เราจะคุ้นหน้าคุ้นตากับหลายๆ แบบเลยทีเดียว
     อย่าง USB 2.0 Type B ในรูป เราก็จะได้เห็นบ่อยๆ กับในเครื่องพริ้นเตอร์ … USB 2.0 Mini Type B นี่เราก็จะคุ้นเคยกันกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยก่อน (เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว แต่อาจจะยังเจออยู่บ้างกับอุปกรณ์จำพวก GPS) และที่พบเห็นบ่อยสุดๆ คือ USB 2.0 Micro Type B ครับ
     เพราะสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตส่วนใหญ่ใช้พอร์ตนี้กันทั้งนั้น โดยจะมีเห็น USB 3.0 Micro Type B กันบ้างในพวกฮาร์ดดิสก์ภายนอกที่รองรับ USB 3.0 กับ Samsung Galaxy S5 และ Galaxy Note 3 เป็นต้น

สรุปง่ายๆ คือ USB-A และ USB-B คืออะไรที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง

     ไม่ ว่าจะเป็นมาตรฐาน USB 1.1, USB 2.0 หรือ USB 3.0 ต่างก็ใช้พอร์ต USB-A หรือไม่ก็ USB-B ด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่แตกต่างกันที่ชนิดของหัว ที่เปลี่ยนแปลงไปตามประเภทของอุปกรณ์ที่ต่อพ่วง เพื่อให้เหมาะสมกับการออกแบบอุปกรณ์ ประมาณนั้น เพียงแต่พอจะอัพเกรดมาเป็น USB 3.1 แล้ว ต้องเปลี่ยนหัวมาเป็นแบบ USB-C ครับ

แล้วทำไมต้องอัพเกรดเวอร์ชัน USB ด้วย?!?

     หลักๆ เลย เหตุผลของการอัพเกรดก็เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลครับ ดูจากตารางด้านล่างได้ ความเร็วสูงสุดในการรับส่งข้อมูลของ USB ในแต่ละเวอร์ชัน มันเพิ่มมาเรื่อยๆ ครับ และในเวอร์ชัน 3.1 นี่ ความเร็วสูงสุดที่จะทำได้ก็คือ 10Gbps ครับ
     นอก จากนี้ USB เวอร์ชันใหม่ๆ ก็สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ได้มากขึ้น ทั้งในแง่ความต่างศักย์ และกระแสไฟฟ้า โดย USB 3.1 นี่จะจ่ายไฟได้สูงสุด 10 โวลท์ 5 แอมป์ กันเลยทีเดียว เรียกว่าแรงพอจะชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กได้ (Apple ถึงเลือกใช้กับ New MacBook Pro ไง)

USB-C พร้อมแล้วเหรอ?!?

     คำตอบคือ “ยัง” คืองี้พวกที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ I/O (Input/Output) เนี่ย มันต้องมีชิปเซ็ตที่เรียกว่า Controller มาคอยควบคุมการรับส่งข้อมูล แต่ USB 3.1 เนี่ย ชิปเซ็ตยังอยู่ในระหว่างกระบวนการพัฒนาและทดสอบอยู่เลย พี่ Apple แกรีบชิงเอาออกมาใช้ซะก่อน
     ฉะนั้น ถ้าจะหาอุปกรณ์มาใช้ร่วมด้วย อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะได้เจอพริ้นเตอร์ ได้เจอสมาร์ทโฟน ได้เจอกล้องดิจิตอลที่ใช้พอร์ต USB-C ในการรับส่งข้อมูลเลยครับ ส่วนไอ้ที่มีๆ อยู่ตอนนี้ แม้จะเป็น USB-C และใช้มาตรฐาน USB 3.1 ก็อย่าเพิ่งหวังว่ามันจะทำความเร็วได้ระดับ 10Gb/s ตามที่คาดหวังกันไว้
     เรา อาจจะต้องรอการพัฒนาและปรับแต่งอีกหลายขุมกว่าจะไปจุดนั้นได้ครับ … เว็บไซต์ PCWorld.com เอง เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็บอกว่า แม้เราจะได้เห็นพวกอุปกรณ์พกพาและเครื่องพีซีที่มาพร้อมกับมาตรฐาน USB 3.1 แต่ว่าพวกอุปกรณ์ต่อพ่วง เช่น Flash drive นี่ ยังคงไม่ได้ออกมาวางจำหน่ายกันในเร็วๆ นี้แน่ๆ

New MacBook มีพอร์ตเดียวใช้ทั้งชาร์จ ทั้งต่ออุปกรณ์ ทั้งต่อจอ แล้วจะต่อพร้อมกันยังไง?!?

     สำหรับ คนที่จะพก New MacBook ไปทำงานเฉยๆ อาจจะไม่เดือดร้อนอะไร เพราะเน้นใช้พอร์ต USB-C เอาไว้ชาร์จแบตเตอรี่อย่างเดียว แต่ถ้าวันหนึ่งต้องต่อกับ USB Flash drive ของเพื่อนล่ะ แล้วไหนๆ มันก็ทั้งบางและเบาแล้ว อยากเอาไปใช้ในการนำเสนอพรีเซ็นเทชั่น เอาไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ล่ะ ต้องต่อกับจอแสดงผลภายนอกด้วย จะทำยังไง?!?
สาย USB แบบต่างๆ


     ไม่ ต้องห้วงครับ Apple เขาเตรียมไว้ให้แล้ว มีทั้งตัวต่อแบบหลายพอร์ต สามารถต่อชาร์จแบตเตอรี่ ต่อออกจอแสดงผล และมีพอร์ต USB-A ให้อีกพอร์ตนึงเอาไว้สำหรับต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงได้ ราคาแค่ 2,990 เอง
     ใครอยากต่อทั้ง VGA กะ HDMI ละก็ คูณสองไป เพราะคุณต้องซื้อสองตัว ส่วนใครกะต่อแค่ USB-A เฉยๆ ก็ 690 บาทครับ Apple น่ะ เป็นเงินเป็นทองทั้ง นั้น เสียค่า New MacBook ขั้นต่ำ $1299 แล้ว ต้องมาจ่ายอีกเป็นพันเพื่อซื้ออะแด็ปเตอร์ครับ ของเก่าใช้ด้วยกันไม่ได้นะครับพี่น้อง
สามารถรับข่าวสารเพิ่มเติมได้อีกทางที่ www.facebook.com/kafaakBlog

 รู้จัก USB-C กัน … Apple ใช้ USB-C แล้ว A กะ B มันเป็นยังไง?!?

Samsung Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge / ซัมซุงแกแล็คซี่ เอส 6 และ 6 เอจ

Samsung Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge เปิดตัวแล้วชมสรุปข้อมูลพร้อมสเปคและราคาได้ที่นี่

     สิ้นสุดการรอคอยเมื่อ  Samsung ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟน  Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S6 Edge อย่างเป็นทางการ ซึ่งก็เรียกได้ว่า มาพร้อมกับสเปค ดีไซน์ ที่ถูกปรับปรุงใหม่ รวมถึงยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมายเลยทีเดียว



     สำหรับสมาร์ทโฟนตระกูล  Samsung Galaxy S  นั้นถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับ Hi-End ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และทุกครั้งที่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ ก็ได้รับความสนใจอยู่เสมอ
     สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ได้ใช้ชื่อตระกูล Galaxy ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 และถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของค่ายที่รันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 
     โดยเริ่มจาก Samsung Galaxy S, Samsung Galaxy S II,  Samsung Galaxy S III,  Samsung Galaxy S4, Samsung Galaxy S5 ใน  ปี 2014 และสำหรับในปี 2015 นั้นทาง Samsung ยังคงก้าวล้ำในด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เรื่อยมา
     การมาของ Samsung Galaxy S6 นั้นถือเป็นรุ่นที่ 6 แล้วครับ แต่มันไม่ธรรมดาตรงที่ในค่ำคืนวันนี้นั้น  Samsung Galaxy S6 ไม่ได้มาเพียงรุ่นเดียวเพราะยังมี Samsung Galaxy S6 Edge มาเปิดตัวอีกหนึ่งรุ่น
     เราลองมาดูกันครับว่าสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S6 Edge ทั้งจะมีสเปคเป็นอย่างไรบ้าง รวมถึงมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ลองมาชมกันเลยครับ
Samsung Galaxy S6

Samsung Galaxy S6 edge

     ทั้ง Samsung Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge มาพร้อมหน้าจอกว้างขนาด 5.1 นิ้ว ความละเอียด QHD Super AMOLED (577 ppi)  กระจกทำจาก Gorilla Glass 4 พร้อมให้ความแข็งแรงทนทานมากขึ้น 50% 
     จะต่างกันเล็กน้อยตรงขนาดของตัวเครื่องเพราะ Galaxy S6 นั้นขนาดตัวเครื่อง 143.4 x 70.5 x 6.8 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวเครื่อง 138 กรัม, ส่วน Galaxy S6 edge มีขนาดตัวเครื่อง 142.1 x 70.1 x 7 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวเครื่อง 132 กรัม
     Samsung Galaxy S6 และ Galaxy S6 Edge มาพร้อมชิปเซ็ตแบบ  Exynos 7420, CPU 64-bit octa-core, หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 5.0 Lollipop ครอบทับด้วย TouchWiz UI เวอร์ชันใหม่ล่าสุด มี 3 ความจุให้เลือกใช้งานครับนั้นคือ 32GB, 64GB และ 128GB ดังนั้นสำหรับสเปคนี้ในปัจจุบันถือว่า Galaxy S6 ทั้งสองถือว่าแรงที่สุดของโลกไปแล้วนั้นเอง

     สำหรับกล้องดิจิตอลบน Samsung Galaxy S6-  S6 Edge นั้นถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยกล้องดิจิตอลด้านหลังนั้นมีความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล F/1.9 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวขณะถ่าย (OIS) รองรับการถ่ายวีดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K
     ส่วนกล้องดิจิตอลด้านหน้านั้นมีความละเอียดสูงถึง 5 ล้านพิกเซลเลยทีเดียว ถ่ายภาพและ vdo ได้ดีกว่า iPhone 6, iPhone 6 Plus มากแค่ไหน! อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ทาง ซัมซุง ภูมิใจนำเสนอl
   

ภาพถ่ายของกล้องด้านหลัง ระหว่าง iPhone 6 Plus และ Samsung Galaxy S6
การถ่ายวีดีโอ ระหว่าง iPhone 6 Plus และ Samsung Galaxy S6
     พิเศษสุดกับการชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายที่ เรียกว่า Built-in Wireless Charging ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟนยุคนี้ นั้นมันกำลังจะทำให้สายไฟจะกลายเป็นของล้าสมัยไปเลยทีเดียว ซึ่งเทคโนโลยี Wireless Charging จะช่วยขจัดตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ทิ้งไป



     ฟีเจอร์ใหม่ใหม่อย่าง Fast Charging การใช้เวลาชาร์จแบตได้เร็วขึ้นนั้นคือชาร์จเพียง 10 นาที ใช้งานได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมง!

     นอกจากนี้นั้นในรุ่นใหม่ยังมีการปรับเปลี่ยนส่วนของ interface ให้ใช้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งinterface ใน Samsung Galaxy S6 และ Samsung Galaxy S Edge  อิงการออกแบบของ Android 5.0 ทำให้เรียบง่าย เข้าใจง่ายขึ้น ตัดตัวที่ไม่จำเป็นออกบางส่วน

     Samsung Pay ระบบการชำระเงินบนมือถือแบบใหม่ใช้ระบบ MST กับ NFC รองรับเครื่องอ่านบัตรได้หลากหลาก พร้อมใช้งานในสหรัฐฯ และเกาหลีใต้แล้ว นั้นหมายความว่าต่อไปเราสามารถใช้มือถือจ่ายเงินแทนบัตรเครดิตได้นั้นเองค รับ


     Samsung Galaxy S6 และ Galaxy S6 edge จะวางจำหน่ายในกลางเมษายนนี้ ซึ่งมีให้เลือกได้แก่ White Pearl, Black Sapphire, Gold Platinum และ Green Emerald 



 

อัพเดทล่าสุดนั้นทางฝั่งยุโรปได้เปิดราคาออกมาแล้วครับ ปกติแล้วสมาร์ทโฟนจากทางซัมซุง ในแถบยุโรป จะมีราคาที่ต่างจากประเทศไทยเราประมาณ 3,000 บาท(หมายความว่าแพงกว่าบ้านเรา)
ราคา Samsung Galaxy S6 (อย่างไม่เป็นทางการ) - Samsung Galaxy S6 ความจุ 32GB : €699
- Samsung Galaxy S6 ความจุ 64GB : €799
- Samsung Galaxy S6 ความจุ 128GB : €899

ราคา Samsung Galaxy S Edge  (อย่างไม่เป็นทางการ)
- Samsung Galaxy S6 edge ความจุ 32GB : €849
- Samsung Galaxy S6 edge ความจุ 64GB : €949
- Samsung Galaxy S6 edge ความจุ 128GB : €1049
ที่มา : GSMArena, TheVerge
S! Hitech Comment
มีคนถามว่าจะซื้อ Samsung Galaxy S6 หรือ Samsung S6 Edge ดีในเมือสเปคของทั้ง 2 รุ่นนั้นเหมือนกันหากจะต่างกันก็คงเป็นเรื่องของจอโค้งไม่โค้ง

เปรียบเทียบง่ายๆ สำหรับผู้ชายถ้าชอบอะไรแปลกๆ เช่นชอบเข้าสวนลุม หรือ จตุจักร น่าจะชอบ Samsung S6 Edge มากกว่า หากแต่อยู่ติดกับบ้านไม่อยากไปไหนคงจะชอบ Samsung S6 Edge นั้นแหละ

ผู้หญิงถ้าชอบพวกทอม หรือ เลสเบี้ยน คงของอะไรแปลกๆ แบบ Samsung S6 Edge ถ้ายังชอบผู้ชายอยู่ คงต้อง Samsung Galaxy S6  ธรรมดานะ